วันจันทร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2558


น้ำมันขาลง 'พีทีจี' เบนเข็มสู่ 'นอนออยล์'

ที่มา : หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ 22 กันยายน 2558

บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี กระจายความเสี่ยง สู่ 'นอนออลย์' สู้ราคาน้ำมันขาลง 'พิทักษ์ รัชกิจประการ' นายใหญ่ พร้อมทุ่มเงินลงทุน 'หมื่นล้าน' ปรับโฉม
'อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตระกร้าใบเดียว' 
หลักการลงทุนกระจายความเสี่ยงฉบับใหม่ของ บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยี หรือ PTG ผู้ดำเนินธุรกิจให้บริการสถานีบริการน้ำมันภายใต้แบรนด์ 'พีที' (PT) ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในปี 2558 หลังธุรกิจค้าน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งเป็นกิจการหลัก (Core Business) คิดเป็นสัดส่วนรายได้ 99.99% ได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันขาลง
'พีทีจี เอ็นเนอยี' ก่อตั้งเมื่อปี 2531 ในนามบริษัท ภาคใต้เชื้อเพลิง จำกัด เพื่อประกอบกิจการคลังน้ำมันและค้าน้ำมัน โดยบริษัทมีคลังน้ำมันหลักอยู่ที่จังหวัดชุมพร และจังหวัดสมุทรสงคราม (แม่กลอง) และมีลูกค้าเป็นกลุ่มประมง และกลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมภาคใต้
แรกเริ่มของการดำเนินธุรกิจ ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมาก เนื่องจากตลาดผู้ใช้น้ำมันรายย่อยขยายตัวอย่างรวดเร็ว หลังปริมาณรถยนต์เพิ่มขึ้นจำนวนมาก ผ่านมาถึงปี 2538 รัฐบาลมีนโยบายให้ผู้ประกอบการจำหน่ายน้ำมันต้องมีแบรนด์เป็นของตัวเอง บริษัทจึงตัดสินใจสร้างแบรนด์ PT และเริ่มทำการตลาดให้แบรนด์เป็นที่จดจำ ด้วยการเชิญ 'ปุ๋ย-ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก' อดีตนางงามจักรวาล มาเป็นพรีเซ็นเตอร์โฆษณา
ผ่านมาถึงปี 2540 เมืองไทยประสบปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ส่งผลให้บริษัทต้องเดินเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อปรับโครงสร้างหนี้ที่มีอยู่กว่า 3.6 พันล้านบาท จากนั้นในปี 2550 บริษัทเริ่มมีผลการดำเนินงานเป็นบวก หลังใช้เวลาปรับหนี้นานถึง 9 ปี ก่อนจะตัดสินใจนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในปี 2556 ด้วยการเสนอขายหุ้นไอพีโอราคา 3.90 บาท ล่าสุดราคาหุ้น PTG ซื้อขายเฉลี่ย 15 บาท
ปัจจุบันบริษัทมีรายได้หลักมาจาก 5 กลุ่มธุรกิจ คือ ธุรกิจค้าน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้สถานีบริการน้ำมัน PT,ธุรกิจค้าส่งน้ำมันเชื้อเพลิงให้ผู้ค้าน้ำมันรายอื่นและผู้ประกอบการอุตสาหกรรม ,ธุรกิจขนส่งและขนถ่ายน้ำมันเชื้อเพลิง ,ธุรกิจร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมัน และธุรกิจจำหน่ายสินค้าและการให้บริการอื่นๆ โดยในปี 2557 มีสัดส่วนรายได้ 83.3% ,15.7% ,0.1%, 0.4% ,0.5% ตามลำดับ
'หากวันใดน้ำมันหมดโลกธุรกิจของเราคงแย่' 
'นั้ง-พิทักษ์ รัชกิจประการ' ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ ในฐานะผู้ถือหุ้นอันดับ 6 สัดส่วน 4.53% (ตัวเลขวันปิดสมุดทะเบียนวันที่ 12 มี.ค. 2558) บมจ.พีทีจี เอ็นเนอยีกล่าวถึง 'ความคิดริเริ่ม' ของการเดินหน้าปรับโครงสร้างธุรกิจใหม่ในปี 2558 
'ภายในไตรมาส 4 ปี 2558 หรือไตรมาสแรกปี 2559 บริษัทอาจเริ่มรับรู้รายได้จาก 'ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน' (Non-oil)ครั้งแรก” นายใหญ่ บอกกับ 'กรุงเทพธุรกิจ Biz Week'
เขา เล่าแผนธุรกิจในช่วง 4 ปีข้างหน้า (2558-2561) ให้ฟังว่า บริษัทเตรียมงบลงทุน เพื่อปรับโฉมธุรกิจครั้งใหม่ไว้กว่า 'หมื่นล้าน' เนื่องจากในอนาคตเราอยากมีสัดส่วนรายได้ จาก 'ธุรกิจน้ำมัน' 80% และ 'ธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน'15-20% เนื่องจากธุรกิจนอนออยล์มีอัตรากำไรค่อนข้างสูง เราเหมือน 'คนตัวเล็กแต่มัดหนัก' 'พิทักษ์' พูดเปรียบเปรย
'ถ้ามองในแง่ของกำไรสุทธิ ภายในปี 2561 เราจะมีกำไรจากธุรกิจน้ำมัน 60-70% และธุรกิจนอนออยล์ 30-40%' 
'ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร' บอกว่า ภายในปี 2561 ทุกคนจะเห็นความเปลี่ยนแปลงของบริษัทโดยเราจะเดินหน้าทำงานด้วย 'แปดธุรกิจหลัก' นั่นคือ 1.ธุรกิจค้าน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้สถานีบริการน้ำมัน PT 2.ธุรกิจสถานีบริการแก๊สหุงต้ม (LPG) 3.ธุรกิจพลังงานทดแทน 4.ธุรกิจมินิมาร์ท 5.ธุรกิจร้านกาแฟ 6.ธุรกิจขนส่ง 7.ธุรกิจน้ำมันเครื่อง และ 8.ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์
'พิทักษ์' บอกว่า ในส่วนของ 'ธุรกิจค้าน้ำมันเชื้อเพลิงภายใต้สถานีบริการน้ำมัน PT' เราตั้งเป้าหมายไว้ว่า ภายในปี 2561 จะต้องมีสถานีบริการจำหน่ายน้ำมันไม่ต่ำกว่า 2.4 พันสาขา แบ่งเป็นสถานีบริการที่ดำเนินการโดยบริษัท (COCO) จำนวน 2 พันสาขา และสถานีบริการน้ำมันที่บริหารโดยตัวแทน (DODO) จำนวน 400 สาขา
สำหรับเป้าหมายการเปิดสถานีบริการเติมน้ำมัน วางแผนไว้ว่า ในปี 2558 ต้องขยายตัวเพิ่มอีก 250 สถานี แบ่งเป็นสถานีบริการที่ดำเนินการโดยบริษัท 220 สถานี และสถานีบริการน้ำมันที่บริหารโดยตัวแทน 30 สถานี โดยในส่วนของสถานีบริการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เราจะพยายามขยายสาขาใหม่ให้ได้ปีละ 25 สาขา ฉะนั้นภายใน 4 ปี ต้องมีสถานีบริการในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไม่น้อยกว่า 100 สาขา
ส่วนแผนงานของบัตรสมาชิก 'พีที แม็กซ์ การ์ด' ที่ใช้เป็นส่วนลดในการเติมน้ำมัน และชิงรางวัล เราได้เริ่มทำบัตรดังกล่าวมาตั้งแต่ปี 2555 แรกเริ่มมีสมาชิกเพียง 3 แสนราย คิดเป็นจำนวนสมาชิกที่เติมน้ำมัน 35% ต่อมาขยับเป็น 61% ในปี 2556 และ 67% ในปี 2557
ในปี 2558 เราตั้งเป้าว่า จะมีจำนวนสมาชิกเติมน้ำมันเพิ่มเป็น 71% จากปัจจุบันที่มีสมาชิกถือบัตรอยู่ทั้งหมด 3.1 ล้านราย และในทุกๆ เดือน จะพยายามผลักดันยอดสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้น 1 แสนราย ส่วนในปี 2561 ยอดสมาชิกจะอยู่ในระดับไม่ต่ำกว่า 7.2 ล้านราย
'ปัจจุบันปั้ม PT เป็นเบอร์ 1 ในแง่ของจำนวนบัตรสมาชิก และเป็นเบอร์ 2 ในแง่ของจำนวนปั๊มน้ำมัน รองจาก PTT ที่มี 1.66 พันแห่ง และแซงหน้าบางจากที่มีปั๊ม 1.05 พันแห่ง โดยสิ้นปีนี้เราจะมีปั๊มแตะ 1.2 พันแห่ง'
เขา เล่าต่อว่า สำหรับแผนงาน 'ธุรกิจสถานีบริการแก๊สหุงต้ม' (LPG) บริษัทตั้งเป้าจะมีสถานีบริการไม่ต่ำกว่า 400 แห่ง ภายในปี 2561 คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาดประมาณ 20% จากจำนวนสถานีบริการ LPG ทั่วประเทศที่มีอยู่ 2 พันแห่ง ทั้งนี้ปลายปีนี้เราอาจมีสถานีบริการ LPG แตะระดับ 30 แห่ง
ส่วน 'ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์' บริษัทจับมือกับพันธมิตร 2 ราย นั่นคือ บริษัท ท่าฉางอุตสาหกรรม จำกัด ผู้ประกอบการโรงหีบ จังหวัดสุราษฎร์ธานี และบริษัท อาร์แอนด์ดี เกษตรพัฒนา จำกัด สัดส่วนการถือหุ้น 50% และ10% ตามลำดับ ส่วน PTG จะถือหุ้น 40% เพื่อดำเนิน 'โครงการอุตสาหกรรมปาล์มครบวงจรแห่งแรกของเมืองไทย' ณ อำเภอสะพานน้อย จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ บนพื้นที่ 1,000 ไร่ รวมมูลค่าการลงทุน 4.8 พันล้านบาท
บริษัทต้องการขึ้นแท่นผู้ประกอบการครบวงจรการผลิตที่มีตั้งแต่ 'ต้นน้ำ-กลางน้ำ-ปลายน้ำ” โดยภายในคอมแพล็กซ์ของเราจะมีทั้งโรงงานหีบปาล์ม ในการผลิตน้ำมันดิบ และโรงงานกลั่นน้ำมันไบโอดีเซล B100 ปัจจุบันน้ำมันไบโอดีเซลเป็นส่วนผสมในน้ำมันดีเซลระดับ 6.5-7% ซึ่งคาดว่าในอนาคตจะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น 
นอกจากนั้นภายในคอมแพล็กซ์ยังมีโรงกลั่นน้ำมันที่สามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำมันพืช เพื่อใช้ในการบริโภค (ขายปลีก) คาดว่า ภายใน 30 เดือนข้างหน้า ทุกโครงการจะแล้วเสร็จ แต่ภายใน 18 เดือนข้างหน้า โรงหีบปาล์มจะแล้วเสร็จก่อนเป็นอันดับแรก พร้อมโรงไฟฟ้าชีวมวล กำลังการผลิต 8 เมกะวัตต์ ที่เรากำลังก่อสร้าง เพื่อลดต้นทุนด้านพลังงาน 
ทั้งนี้โครงการดังกล่าวมีผลตอบแทนการลงทุน (IRR) ไม่ต่ำกว่า 13% ซึ่งพันธมิตรร่วมทุนแต่ละราย ต่างมี “จุดแข็ง” ในการทำธุรกิจที่แตกต่างกัน แต่มีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ ต้องการยกระดับอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มไทยให้ทัดเทียมตลาดโลก 
“โครงการนี้เริ่มก่อสร้างไปเมื่อต้นปี 2558 โดยจะเสร็จสมบูรณ์ทั้งคอมเพล็กซ์ในปี 2560 ซึ่งจะมีกำลังการผลิตน้ำมันปาล์ม เพื่อการบริโภค 200 ตันต่อวัน หรือ 2 แสนลิตรต่อวัน และบี 100 กำลังผลิต 4.5 แสนลิตรต่อวัน ซึ่งจะสร้างรายได้ประมาณปีละ 7.5 พันล้านบาท” 
นายใหญ่ เล่าแผนงาน 'ธุรกิจพลังงานทดแทน' ว่า เราจะแบ่งการลงทุนออกเป็นสองส่วน คือ 1.พลังงานเอทานอล” ปัจจุบันกำลังเจรจากับพันธมิตร 3-4 ราย ซึ่งเป็นผู้ประกอบการโรงงานผลิตน้ำตาล และโรงงานมันสำปะหลัง
ตามแผนพีทีจีอยากมีโรงงานเอทานอล 2 จุด นั่นคือ ภาคอีสาน และภาคเหนือ เพื่อเป็นจุดขนส่งสินค้ามายังโรงกลั่นชลบุรี หรือระยอง คาดว่าจะได้ข้อสรุปปลายปีนี้ กำลังการผลิตบื้องต้นประมาณ 1.5-2 แสนลิตรต่อวัน
2.'พลังงานไบโอเมส' ล่าสุดกำลังเจรจากับเจ้าของโรงไฟฟ้าไบโอเมส 2 แห่ง กำลังการผลิตแห่งละ 10 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าขยะ กำลังการผลิต 5 เมกะวัตต์ โดยพีทีจีต้องการเข้าไปถือหุ้นในระดับ 40-50% คาดว่าภายในเดือน ก.ย.นี้ จะได้ข้อสรุป ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างเตรียมวัตถุดิบที่จะนำมาใช้ในการผลิตไฟฟ้า
'อยากเข้าไปทำโรงไฟฟ้าใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะมีค่าแอดเดอร์ที่ดีกว่าจังหวัดอื่นๆ ตามแผนงาน 3 ปีข้างหน้า (2558-2560) เราต้องมีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าไม่ต่ำกว่า 100 เมกะวัตต์ ทั้งนี้บริษัทเตรียมออกบอนด์ เพื่อนำเงินมาลงทุนโรงไฟฟ้า' 
เขา พูดต่อว่า สำหรับแผนงาน 'ธุรกิจมินิมาร์ท' ภายใต้ชื่อ Max Mart ซึ่งดำเนินงานผ่านบริษัทย่อยชื่อ 'ปิโตรเลียมไทยคอร์ปอเรชั่น' ปัจจุบันบริษัทมีอยู่ในมือ 40 สาขา สามารถสร้างยอดขายได้เฉลี่ย 17,000-18,000 บาทต่อวันต่อสาขา
บริษัทตั้งใจจะเพิ่มสาขาอีกกว่า 700 แห่ง ส่วนใหญ่จะตั้งในอยู่ไพร์มเอเรียเกรด A ในอนาคตเราอาจหาผู้ประกอบการรายอื่นมาประมูลพื้นที่ เพื่อทำมินิมาร์ท แต่เมื่อใดที่สาขาสามารถทำยอดขายได้ 4 หมื่นบาทต่อวันต่อสาขา เราคงทำเอง
สำหรับ 'ธุรกิจร้านกาแฟ' ภายใต้ชื่อ กาแฟพันธุ์ไทย ซึ่งดำเนินการ ภายใต้บริษัท กาแฟพันธุไทย จำกัด ปัจจุบันบริษัทมีอยู่ 15 สาขา (ใช้เมล็ดกาแฟจากดอยช้าง) ตามแผนจะเพิ่มจำนวนร้านกาแฟในสถานีบริการน้ำมันเป็น 60-70 สาขา รวมถึงขยายร้านกาแฟไปในจุดต่างๆ เช่น ห้างสรรพสินค้า และมหาวิทยาลัย และเตรียมผลักดันบริษัทย่อยเข้าตลาดหลักทรัพย์ภายในปี 2562
ส่วน 'ธุรกิจขนส่ง' คาดว่า จะนำบริษัทย่อยเข้าตลาดหุ้นเหมือนกัน เพราะเป็นธุรกิจที่สร้างกำไรสูงมากเฉลี่ย 20% ซึ่งภายใน 1-2 เดือนข้างหน้า อาจดำเนินการจัดตั้งบริษัทย่อยแล้วเสร็จ ปัจจุบันบริษัทมีรถขนส่ง 340 คัน แบ่งเป็นรถเทรลเลอร์ และรถสิบล้อ ซึ่งดำเนินการขนส่งให้กับบริษัทในเครือ และรับจ้างขนส่งให้กับบริษัทอื่นด้วย
'ธุรกิจน้ำมันเครื่อง' ถือเป็นธุรกิจใหม่ของเรา ล่าสุดเตรียมจับมือกับพันธมิตรที่ดำเนินธุริจน้ำมันเครื่องรายใหญ่ของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น คาลเท็กซ์ ,ไทยออยล์ และ ไออาร์พีซี ปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาว่า จะซื้อน้ำมันเครื่องกับพันธมิตรเพียงอย่างเดียว หรือจะจับมือเป็นพันธมิตรด้วย
'เราจะนำบริษัทลูกเข้าตลาดหุ้นภายใน 5 ปีข้างหน้า (2559-2563)'
เมื่อถามถึงแผนโกอินเตอร์ เขาตอบว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรต่างประเทศ เพื่อเข้าไปลงทุนเปิดสถานีบริการน้ำมัน โดยเฉพาะพันธมิตรประเทศลาว และพม่า คาดว่าการลงทุนในลาวอาจได้ห็นความชัดเจนภายในปีนี้
'การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ปลายปีนี้จะเป็นประโยชน์ต่อบริษัทในหลายๆด้าน' 
'พิทักษ์' เล่าต่อว่า ปีนี้บริษัทอาจมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 20% เมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้ 5.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นการเติบโตตามปริมาณการจำหน่ายขายน้ำมันที่ขยายตัว 15-20% จากปีก่อน และการขยายสถานีบริการน้ำมันแตะระดับ 1.2 พันแห่ง จากตอนนี้ที่มีอยู่ 1 พันแห่ง รวมถึงการขยายสาขาสถานีบริการ LPG จาก 3 แห่ง เป็น 30 แห่ง และการเปิดสาขา Max Mart อีก 15-20 แห่ง ภายในปีนี้
บริษัทจะพยายามผลักดันหุ้น PTG ให้เข้าไปอยู่ดัชนี SET 50 ภายในปี 2560 จากปัจจุบันที่ติดอันดับ SET 100 ซึ่งการจะติด SET 50 ได้นั้น บริษัทต้องมีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาด (มาร์เก็ตแคป) สูงกว่า 3 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันที่อยู่ 2 หมื่นล้านบาท และระดับราคาหุ้นของบริษัทจะต้องอยู่ 22-25 บาทต่อหุ้น จากตอนนี้ที่อยู่ 12-13 บาทต่อหุ้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น